บทวิจารณ์หนัง FURY ไม่ใช่หรือ วีรกรรมทำเพื่อชาติ
ซึ่งอันที่ครันแก่นของตัวอย่างหนังใหม่สงครามนั้นคงหนีไม่พ้นประเด็นไม่กี่อย่างนั่นคือ
- ข้อแรก การนำเสนอความรักชาติและพวกพ้อง
- ข้อสอง ผลพวงจากสงครามรอยบาดแผลด้วยกันคราบเเล่าลือดรวมไปถึงคราบน้ำตา
- ข้อสาม การขายม่านบังตาห้ำหั่นกันระหว่างฝ่ายดีด้วยกันฝ่ายศัตรู
พร้อมทั้งแน่นอนว่าหนังสงครามแล้วขึ้นชื่อว่าคนชนชาติใดเป็นผู้สร้างก็มักจักต้องเขียนบท เข้าข้าง พระราชพงศาวดารศาสตร์ชาติของตัวเองเป็นสำคัญ ว่ากันง่ายๆ เลยก็คือหนังสงครามส่วนมากก็มักจะปลุกกระแสชาตินิยมเป็นปกติ กับมักจะต้องโยนขี้หรือไม่ก็พยายามทำให้อีกฝ่ายหนึ่งดูมีความ ชอบธรรม น้อยกว่าเพื่อจักได้เป็นข้ออ้างในการเข่นฆ่าฝ่ายตรงข้ามเพราะไม่ต้องพยายามหาความมีมนุษยธรรมมาทำให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น
ซึ่งหนังอย่างเรื่อง Fury นั้นอาจจักกล่าวได้ว่ามันมีแนวคิดตามที่ระบุมาข้างต้นเกือบครบครันทุกประการ ตัวหนังกล่าวเล่าเรื่องราวของพลรถถังกลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่ในช่วงเวลาปลายสงครามโลกครั้งที่ 2
ซึ่งฝ่ายอเมริกานั้นได้รับมอบหมายทำให้ทำการรบกับศัตรูอย่างนาซีแบบเต็มพิกัดและเป้าหมายเดียวของพวกเขาก็คือการตีเข้าใจกลางเยอรมันให้ย่อยยับราบพนาศรัย เพราะว่ารถถังที่เป็นยานพาหนะสำคัญให้กลุ่มตัวเอกได้ใช้เดินเรื่องก็คือ รถถังเอ็ม 4 ที่ชื่อว่าฟิวรี่ แน่นอนว่าในช่วงโค้งสุดท้ายของการต่อสู้ไม่ว่าทหารฝ่ายใดก็ตามก็ล้วนเหนื่อยล้าและอิดโรยจากความยาวนานของการรบราฆ่าฟัน ดังนั้นจิตวิญญาณของเหล่าทหารก็ขึ้นต้นร่อยหรอเข้าไปทุกที
ด้วยกันทางผู้กำกับหนังหนังใหม่ของเรื่องอย่างเดวิด เอเยอร์นั้น ตั้งใจนำเสนอภาพสงครามออกมาพาฝันค่อนข้างน้อยกว่าหนังสงครามเรื่องอื่นๆ เขานำเสนอภาพความรุนแรง ดิบ โหดร้ายพร้อมด้วยสมแท้ ไม่ว่าจะเป็นเศษชิ้นเนื้อมนุษย์ที่หลุดกระจายปลิวว่อนตลอดเรื่อง
สิ่งที่แน่นอนว่าภาพลักษณ์ของทหารในเรื่องนี้จะไม่ได้ถูกนำเสนอในฐานะของฮีโร่ผู้พิทักษ์อเมริกา แต่พวกเขาจะเป็นแค่คนธรรมดากลุ่มหนึ่งที่เดิมพันชีวิตของตัวเองฝากไว้กับรถถัง ด้วยกันความเจ็บปวดที่พวกเขาได้รับกลับมานั้นไม่ใช่แค่เท่าบาดแผลภายนอกเท่านั้น แต่มันยังบาดลึกลงไปถึงจิตใจของพวกเขาด้วย พร้อมกับความสูญเสียระหว่างพลทหารด้วยกันเองนั้นยิ่งสร้างความรู้สึกเกลียดชังฝ่ายศัตรูอยู่ทุกเท่าที่
เพราะว่าที่ตัวละครของ โลแกน เลอร์แมน ที่แสดงในบทบาทของนอร์แมน เด็กชายวัยรุ่นที่กระโจนเข้ามาในสงครามครั้งนี้ด้วยความจำเป็น เขาเป็นภาพแทนของผ้าขาวที่กำลังถูกทำให้เปื้อนด้วยความเลวร้ายของสงครามที่ตลอดเวลาที่หนังดำเนินเรื่องไปนั้น เขาก็ได้เรียนรู้การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ การรับผิดชอบต่อส่วนรวม พร้อมด้วยแน่นอนมันทำให้เขาต้องจับอาวุธเพื่อฆ่าคนไม่เช่นนั้น สมมตเขาไม่ลั่นไกกระสุนออกไป อีกหลายชีวิตในพรรคพวกของตัวเองก็อาจจะต้องพบจุดจบ พูดง่ายๆคือหนังทั้งเรื่องถูกนำเสนอทะลวงสายตาของเขา ซึ่งกล่าวได้ว่ามันคือการก้าวทะลุพ้นวัยของตัวละคร
กับตัวละครอีกหนึ่งตัวที่โดดเด่นไม่จำนนนักแสดงเลยก็คือรถถัง Fury ซึ่งมู่ลี่รถถังในหนังเรื่องนี้เรียกได้ว่าตอนที่เกิดเหตุการณ์สู้รบกับฝ่ายตรงข้ามนั้น การจู่โจมกับการเคลื่อนที่ของตัวรถถังในเรื่องทำได้สร้างความตื่นเต้นให้ผู้ชมลุ้นไปกับตัวละครด้วยกันรถถัง Fury ได้อย่างนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้เลยทีเดียว
ซึ่งอย่างไรก็ตามแม้ว่าพระเอกของเรื่องอย่างแบรด พิตต์ จักมีม่านบังตาถอดเสื้อโชว์กล้ามเป็นอาหารตาในช่วงกลางเรื่องก็ตาม แต่นอกเหนือจากพลังดาราแล้ว หนังอย่าง Fury ก็ยังทำหน้าที่เป็นหนังสงครามฟอร์มกลางที่ไม่ได้ตั้งใจใส่ม่านสงครามชนิดยิงกันโครมครามหูดับตับไหม้ มันยังนำเสนอเรื่องราวที่ตัวละครจะต้องตกลงใจและเเล่าลือกเดิน แม้ว่าสุดท้ายแล้วโปรแกรมหนังจะไม่จบลงในสไตล์วีรบุรุษก็ตาม แต่หนังก็เละบือกที่จะนำเสนอว่าท้ายที่สุดแล้ว บางครั้งการเอื้ออาทรแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อาจจะเป็นทางเดียวที่สงครามจักยุติลง
@พริตตี้ปลาสลิด
ให้คะแนน 3.5 คะแนนจาก 5 คะแนน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น